หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

การรับประทานชา และ กาแฟ อาจลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดหัวใจได้



หลายคนเคยได้ยินมาว่า การรับประทานชา และ/หรือ กาแฟ เป็นผลเสียต่อสุขภาพ แต่ทราบหรือไม่ว่า การรับประทานชาและกาแฟเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ และ โรคหลอดเลือดหัวใจได้
pic from http://drsethrosen.blogspot.com


โรคหลอดเลือดหัวใจ


เริ่มจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องดื่ม กับอัตราการตายเนื่องจากโรคหลอดเลือดหัวใจของโยเฮอิ มิเนะฮารุ และคณะ ที่ได้ถูกนำสู่สาธารณะในปี 2009 โดยมีการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้าในประชากรญี่ปุ่น จำนวน 76,979 ที่มีช่วงอายุ 40-79 ปี ซึ่งไม่มีประวัติการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ไม่ดื่มชาและกาแฟ กับกลุ่มที่ดื่มชาและกาแฟพบว่า กลุ่มที่ดื่มชาและกาแฟมีอัตราเสี่ยงการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่ม (Mineharu et al., 2011)

โรคหลอดเลือดสมองตีบ


ต่อมาโยชิฮิโร่ โคคูโบะ และคณะ ได้ทำการศึกษาในประชากรชาวญี่ปุ่นจำนวน 82,369 คน ที่มีช่วงอายุ 45-74 ปี ซึ่งไม่มีประวัติการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือด และมะเร็งในช่วงปีค.ศ. 1995-1998 และติดตามผลเป็นเวลา 13 ปี (ค.ศ. 2007) พบว่าผู้ที่รับประทานชา และ กาแฟมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ และโรคหัวใจหลอดเลือดลดลง(Kokubo et al., 2013)

  • ผู้ที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 1 แก้วจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคน้อยกว่าผู้ที่แทบจะไม่ได้ดื่มประมาณ 20%
  • ผู้ที่ดื่มชาเขียว 2-3 แก้วต่อวัน จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ทาน 14% และ ถ้าดื่ม อย่างน้อย 4 แก้วต่อวันจะมีความเสี่ยงลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับผู้ที่แทบจะไม่ได้ดื่ม
  • ผู้ที่ดื่มกาแฟอย่างน้อย 1 แก้ว หรือ ดื่มชาเขียว 2 แก้วต่อวันจะมีความเสี่ยงของเลือดออกในสมอง(intracerebral hemorrhage) ลดลงประมาณ 32% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่แทบจะไม่ได้ดื่ม

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการดื่มชา หรือ กาแฟช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างไร ทั้งนี้อาจเนื่องจากในชาเขียวมีสารประกอบฟินอลิกจำพวกคาทิชิน ส่วนในกาแฟมีกรดคลอโรจีนิก(chlorogenic acid) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านอักเสบ

สำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง


มีการศึกษาพบว่าสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงเมื่อได้รับคาเฟอีนปริมาณ 200-300 มก. (เทียบเท่าประมาณ กาแฟ 1-2 แก้ว) จะมีความดันเลือดบนเพิ่มขึ้น 8.1 มม. ปรอท ส่วนความดันล่างเพิ่มขึ้น 5.7 มม. ปรอท ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกที่รับประทานและยาวนานต่อเนื่องไปถึง 3 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น แต่ในการศึกษาการรับประทานกาแฟในระยะยาวยังไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์ที่แน่ชัดระหว่างการดื่มกาแฟเป็นระยะเวลานานกับการเพิ่มความดันเลือด หรือ การเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง(Mesas et al., 2011)
pic from http://www.timetocleanse.com



แต่อย่างไรก็ดีคาเฟอีนในชาและกาแฟมีผลในการเพิ่มความดันเลือด ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงควรระมัดระวังในการรับประทาน








ที่มาของข้อมูล


Mineharu, Y., Koizumi, A., Wada, Y., Iso, H., Watanabe, Y., Date, C., ... & Tamakoshi, A. (2011). Coffee, green tea, black tea and oolong tea consumption and risk of mortality from cardiovascular disease in Japanese men and women.Journal of epidemiology and community health, 65(3), 230-240.

Kokubo, Y., Iso, H., Saito, I., Yamagishi, K., Yatsuya, H., Ishihara, J., ... & Tsugane, S. (2013). The Impact of Green Tea and Coffee Consumption on the Reduced Risk of Stroke Incidence in Japanese Population The Japan Public Health Center-Based Study Cohort. Stroke, 44(5), 1369-1374.

American Heart Association. (2013). Green tea, coffee may help lower stroke risk. (Online) Available: http://newsroom.heart.org/news/green-tea-coffee-may-help-lower-stroke-risk [Cite September 16,2013]

Mesas, A. E., Leon-Muñoz, L. M., Rodriguez-Artalejo, F., & Lopez-Garcia, E. (2011). The effect of coffee on blood pressure and cardiovascular disease in hypertensive individuals: a systematic review and meta-analysis. The American journal of clinical nutrition, 94(4), 1113-1126.

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

พีรามิดการรับประทานอาหารเสริม

Pic from http://www.arizonafoothillsmagazine.com

ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้านเราตอนนี้ถือได้ว่าอยู่ในช่วงกำลังเติบโต  สังเกตุได้ว่าผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เดิมทีจะพบแค่ในร้านขายยา หรือในระบบขายตรงเท่านั้น  แต่ณ. ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าอาหารที่ขายอยู่ตามชั้นวางสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้าก็มีการเพิ่มเติมสารสกัดต่างๆเพื่อเพิ่มประโยชน์ทางด้านสุขภาพ และเพิ่มจุดขายทางการตลาด ตัวอย่างเช่น การเพิ่มวิตามินซี, แคลเซียม, ใยอาหาร, โคเอ็นไซม์คิวเท็น, คลอลาเจน, สารสกัดจากผักและผลไม้ต่าง และอื่นๆ  นั้นแสดงว่าผู้ผลิตอาหารเริ่มรับรู้ได้ว่าผู้บริโภคบ้านเราเริ่มใส่ใจในการบริโภคเพื่อสุขภาพมากขึ้นกว่าการบริโภคเพื่อให้อิ่ม

ด้วยเหตุนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในตลาดบ้านเราจึงมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งที่ผลิตเองในประเทศและนำเข้า การตลาดและการประชาสัมพันธ์ก็มีการแข่งขันกันมากขึ้นประกอบกับการแพร่กระจายของข้อมูลในปัจจุบันทำได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่านทีวีที่เป็นฟรีทีวี หรือดาวเทียม  วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยาสาร สื่อออนไลน์ รวมถึงการบอกเล่ากันปากต่อปาก

ในเมื่อมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เลือกมากมายหลายคนอาจเริ่มสับสนว่าควรรับประทานตัวไหนดี จึงได้นำพีริมิดการรับประทานอาหารเสริมมาฝากเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกรับประทาน

ขั้นพื้นฐาน หรือฐานพีรามิด


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในขั้นนี้เป็นพื้นฐานความต้องการของร่างกายทุกคน เพียงแต่การได้รับจากอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในปัจจุบัน เนื่องจากวิถีชีวิตในปัจจุบันได้เปลี่ยนไป กิจกรรมต่างๆต้องดำเนินอย่างเร่งรีบ อาหารเสริมในขั้นนี้ได้แก่

  • อาหารเสริมภาวะโภชนาการ ได้แก่ วิตามินรวม, แคลเซียม, ใยอาหาร, กรดไขมันที่ดี (เช่น โอเมก้า 9 และ โอเมก้า 3), โปรตีนที่ดี (เช่น โปรตีนจากเวย์ )
  • โพรไบโอติก หรือ จุลลินทรีย์ที่ดีสำหรับระบบลำไส้


ขั้นถัดจากพื้นฐาน

ปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนไป ผู้คนมีความเครียดเพิ่มขึ้น มลภาวะทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การปนเปื้อนสารเคมี หรือสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในอาหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายและส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระจึงเริ่มกลายเป็นสิ่งจำเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในขั้นนี้ได้แก่

  • สารต้านอนุมูลอิสระพื้นฐาน เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, โคเอนไซม์คิวเท็น, แคโรทีนอยด์ (เช่น เบต้าแคโรทีน, ไลโคพีน, ลูทีน, ซีแซนทีน, และ แอสต้าแซนทิน)
  • สารสกัดอื่นๆ เช่น สารสกัดจากข้าว, สารสกัดจากชาเขียว, สารสกัดจากผัก ผลไม้ และสมุนไพรต่างๆ


ขั้นสูง หรือขั้นส่วนบุคคล

อาหารเสริมในขั้นนี้ขึ้นกับปัจจัยสุขภาพแต่ละบุคคล สิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ เช่น

  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องกระดูก เช่น ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน หรือผู้ที่อาจมีความเสี่ยงในการเเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่รับประทานยาบางประเภทที่มีผลให้ลดการดูดซึมแคลเซียม และผู้ที่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ(เช่น ผู้ที่ดื่มนมไม่ได้เนื่องจากแพ้แลกโตสในนม) เป็นต้น
  • ผู้ที่มีระดับไขมัน และคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง 
  • ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง 
  • ผู้ที่อาจมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง เช่น 
    • ผู้ที่มีญาติที่มีประวัติในการเป็นมะเร็ง, 
    • ผู้ที่รับประทานสุรา และหรือสูบบุหรี่เป็นประจำ, 
    • ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีโอกาสก่อมะเร็งเป็นประจำ ( เช่น อาหารปิ้งย่าง, อาหารที่ทอดด้วยน้ำมันซ้ำๆ, อาหารที่ใช้วัตถุเจือปนอาหารในปริมาณที่เกินกำหนด, อาหารที่มีการปนเปื้อนยากำจัดแมลง, อาหารที่มีการปนเปื้อนโลหะหนักจากสิ่งแวดล้อม)
    • และอื่นๆ
  • ผู้หญิงที่อายุเยอะขึ้นที่กังวลเรื่องริ้วรอย และปัญหาผิวพรรณ 
  • นักกีฬาที่ต้องเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และต้องออกกำลังกายอย่างหนัก 
  • ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เครียดตลอดเวลา 
  • ผู้สูงวัยมักมีปัญหาเรื่องความจำเสื่อม 
  • วัยเรียน วัยทำงานที่ต้องใช้สมองเยอะ 
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน 
  • ผู้ที่ปัญหาในการขับถ่าย 

 
Supplement Pyramid

แต่อย่างไรก็ดีในการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควรมีการศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเราจำเป็นต้องเสริมหรือไม่ และควรศึกษาถึงข้อมูลความปลอดภัยในการรับประทานอาหารเสริม  หรือไม่ก็ควรปรึกษาผู้เชียวชาญ เภสัชกรหรือแพทย์

ข้อมูลบางส่วนจาก