หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การดื่มกาแฟ กับ อุบัติการณ์การเกิดมะเร็งตับ

ในบทความที่ผ่านมาได้กล่าวถึงการรับประทานกาแฟกับการลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมองตีบ มาในบทความนี้จะเป็นความสัมพันธ์ุระหว่างการรับประทานกาแฟกับอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งตับ


มีการศึกษาที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาในปี 2013 ในวารสาร BMC Gastroenterology ซึ่งได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มกาแฟ กับอุบัติการการเกิดมะเร็งตับพบว่า “การบริโภคกาแฟอาจเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ”

อุบัติการณ์การเกิดมะเร็งตับ


เพศชาย
เพศหญิง
อันดับที่พบโดยทั่วไปในบรรดามะเร็งทั้งหมด
อันดับที่ 5
อันดับที่ 8
อันดับที่เป็นสาเหตุของการตายในบรรดามะเร็งทั้งหมด
อันดับที่ 3
อันดับที่ 6


สาเหตุของการเป็นโรคมะเร็งตับ

สาเหตุหลัก

  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์(อย่างหนัก)

สารเหตุอื่นๆ

การสูบบุหรี่, ความอ้วน, และเบาหวาน


ความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มกาแฟ กับ อุบัติการณ์การเกิดมะเร็งตับ


จากการเก็บข้อมูลจากงานวิจัยจำนวน 16 งานวิจัย(Case Control 9 งานวิจัย, Cohort Study 7 งานวิจัย) ซึ่งเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2011 สรุปความสัมพันธ์ได้ดังนี้

รายละเอียดการศึกษา
อุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งตับของผู้ที่ดื่มกาแฟประจำ
การศึกษาทั้งหมด
50% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
ปัจจัยด้านการออกแบบการศึกษา

Case Control
50% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
Cohort Study
48% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
ปัจจัยด้านเพศ

เพศชาย
 38% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
เพศหญิง
 60% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
ปัจจัยด้านภูมิภาค

ชาวเอเชีย
45% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
ชาวยุโรป
57% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
ปัจจัยด้านตัวกวน*(Confounder)

ปรับ(Adjusted)ตัวกวน
54% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
ไม่ปรับ(Unadjusted)ตัวกวน
39% ของผู้ไม่ดื่ม หรือดื่มน้อย
* ตัวกวนคือ ข้อมูลประวัติเกี่ยวกับโรคตับ เช่นไวรัสตับอักเสบ และ โรคตับอื่นๆ


จากการศึกษานี้กล่าวได้ว่าการบริโภคกาแฟอาจเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ


อย่างไรก็ดีการบริโภคกาแฟมากเกินไปจะทำให้เราได้รับคาเฟอีนในปริมาณมากซึ่งคาเฟอีนมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางทำให้ประสาทตื่นตัว และอาจเป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับได้


ที่มาของข้อมูล


Bioscience Technology. (2013). Drinking Coffee Cuts Liver Cancer Risk by 40% (Online). Available: http://www.biosciencetechnology.com/news/2013/10/drinking-coffee-cuts-liver-cancer-risk-40#.UmiX5nC8DXA [2013, October 24]

Sang, L. X., Chang, B., Li, X. H., & Jiang, M. (2013). Consumption of coffee associated with reduced risk of liver cancer: a meta-analysis. BMC gastroenterology, 13(1), 34.

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สารอาหารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไมโตคอนเดรีย


ไมโตคอนเดรียคือ

ส่วนประกอบของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์พลังงานให้เซลล์ ดังนั้นการอยู่หรือการตายของเซลล์จึงขึ้นอยู่กับการทำงานของไมโตคอนเดรีย ซึ่งถูกควบคุมโดยโปรตีนที่เรียกว่า ยีน(Gene)

ไมโตคอนเดรียมีดีเอ็นเอ(DNA)เป็นของตัวเองอยูบนโครโมโซมที่ถือได้ว่ามีขนาดเล็กที่สุดในร่างกายโดยมีจำนวนยีนเพียงแค่ 37 ตัว(1)

บทบาทการทำงานของไมโตคอนเดรียมีส่วนเกี่ยวข้องกับ กระบวนการเมตาบอลิซึม(Metabolism) การตายของเซลล์(Apoptosis) การเกิดโรค และความชราภาพ(1)



กระบวนการเมตาบอลิซึม

คือปฏิกิริยาทางเคมีภายในร่างกายซึ่งมีความข้องเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของเซลล์ และสิ่งมีชีวิต โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
  • คะตาบอลิซึม(Catabolism) คือ การสลายโมเลกุลสารอาหาร ให้มีขนาดเล็กลง และไ้ด้มาซึ่งพลังงาน
  • อะนาบอลิซึม(Anabolism) คือ การสังเคราะห์โมเลกุลขนาดเล็กให้กลายเป็นโครงร่าง กลายเป็นเซลล์พัฒนาไปเป็นเนื้อเยื้อ และอวัยวะ โดยต้องอาศัยพลังงานที่ได้จากคะตาบอลิซึม
ถ้ากระบวนการคะทาบอลิซึม กับ อะนาบอลิซึม ไม่สมดุลกัน เช่น เราทานอาหารมากเกินไปโดยที่ใช้พลังงานในชีวิตประจำวันน้อย นั้นหมายความว่าจะเกิดกระบวนการคะทาบอลิซึมมากกว่าอะนาบอลิซึมทำให้สลายสารอาหาร และได้พลังงานเกินความต้องการจึงสะสมในรูปไขมัน และไกลโคเจนตามส่วนต่างๆของร่างกาย


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไมโตคอนเดรียทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

การทำงานของไมโตคอนเดรียในร่างกายจะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระโดยปรกติอยู่แล้ว ซึ่งปริมาณอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนั้นเอนไซม์ในร่างกายที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระสามารถจัดการได้ตามปรกติ

แต่ถ้าไมโตคอนเดรียเกิดทำงานบกพร่องขึ้นมาจะส่งผลให้ปริมาณอนุมูลอิสระที่เกิดจากการทำงานของไมโตคอนเดรียมีมากขึ้นจนเอนไซม์ในร่างกายต้านไม่ไหว และส่งผลให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่นซึ่งก็คือภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระ ภาวะนี้จะส่งผลให้การทำงานของร่างกายผิดเพี้ยนไปจนก่อให้เกิดโรคต่างๆได้ ซึ่งโรคหรือภาวะที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของไมโตคอนเดรีย(2)ได้แก่

  • โรคอ้วน
  • โรคเบาหวาน
  • โรคหัวใจ
  • โรคสมองเสื่อม
  • โรคไขมันพอกตับ
  • ภาวะชราภาพ
  • ภาวะอักเสบเรื้อรังซึ่งอาจกลายเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง

สารอาหารจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไมโตคอนเดรีย

สารอาหารจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไมโตรคอนเดรีย(3)ได้แก่

  • เรสเวอราทรอล(Resveratrol) พบในองุ่น และผลิตภัณฑ์จากองุ่น เช่นไวน์แดง และน้ำองุ่น
  • เควอซิทิน(Quercetin) พบในแอปเปิ้ล และ หัวหอม (ทั้งหอมแดง และหอมหัวใหญ่)
  • ฟลาวานอล(Flavanol)
    • คาทิชิน(Catechin) และ อิพิคาทิชิน(Epicatechin) พบในชา
    • โปรแอนโธไซยานิดิน(Proanthocyanidins) และ ไซยานิดิน(Cyanidins) พบในเมล็ดโกโก้ และเมล็ดองุ่น
  • ไฮดรอกซีไทโรซอล(Hydroxytyrosol) พบในน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น และไวน์ 
  • PQQ (pyrroloquinoline quinone) เป็นสารที่ผลิตโดยแบคทีเรียที่อยู่ในดิน พบในผลิตภัณฑ์ที่มีการหมัก ไวน์ ชา โกโก้ และพืชตะกูลถั่ว(legume)
Shenoy, et al. (2011)


กลไกการทำงานของสารอาหารเหล่านี้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไมโตคอนเดรียอาจทำได้ 2 ทาง(3)คือ 
  • ทางตรง โดยกระตุ้นการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของไมโตคอนเดรีย ซึ่งได้แก่ยีน PPARGC1A(Peroxisome proliferator-activated receptor gamma coactivator 1-alpha) ซึ่งโปรตีนที่เกี่ยวข้องคือ PGC-1α (4)
  • ทางอ้อม โดยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการต้านออกซิเดชั่นในร่างกาย เพื่อต้านการทำลายเซลล์เนื่องจากอนุมูลอิสระ

ที่มาของข้อมูล

  1. Boore, J. L. (1999). Animal mitochondrial genomes. Nucleic Acids Research,27(8), 1767-1780.
  2. Joven, J. (2013). Mitochondrial Dysfunction: A Basic Mechanism in Inflammation-Related Non-Communicable Diseases and Therapeutic Opportunities. Mediators of inflammation, 2013.
  3. Shenoy, S., Chowanadisai, W., Sharman, E., Keen, C., Liu, J., & Rucker, R. (2011). Biofactors in food promote health by enhancing mitochondrial function.California Agriculture, 65(3), 141-147.
  4. Lin, J., Handschin, C., & Spiegelman, B. M. (2005). Metabolic control through the PGC-1 family of transcription coactivators. Cell metabolism, 1(6), 361-370.

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การกำจัดสารพิษในร่างกายเรา Detoxification

Xenobiotic

คือสารพิษที่ร่างกายได้รับเข้าไป อันได้แก่สารเคมี , วัตถุเจือปนอาหาร, สารพิษ,สารพิษจากเชื้อโรค, ยากำจัดศัตรูพืช, เหล้า, สารพิษจากมลภาวะ และเมตาบอไลท์ของยารักษาโรค เป็นต้น

การกำจัดสารพิษของร่างกาย

การกำจัดสารพิษที่ปอด
                ปอดรับหน้าที่ในการนำแก๊ส และสารระเหยที่มีความพิษออกจากร่างกายไปกับการหายใจออก ซึ่งแก๊ส และสารระเหยที่เป็นพิษเหล่านี้เกิดจากกระบวนการภายในร่างกาย เช่นกระบวนการกำจัดสารพิษที่ตับ

การป้องกันสารพิษที่ผิวหนัง
                ผิวหนังรับหน้าที่ในการป้องกันการซึมผ่านของสารพิษผ่านผิวหนังโดยจะป้องกันสารพิษที่ละลายในน้ำได้ดีกว่าสารพิษที่ละลายในน้ำมัน(สารพิษที่ละลายในน้ำมันซึมผ่านเข้าสู่ผิวได้ดีกว่า)

การกำจัดสารพิษที่ไต
                ไตมีหน้าที่กรองสารพิษที่อยู่ในเลือดแล้วขับออกทางปัสสาวะ

การกำจัดสารพิษผ่านระบบทางเดินอาหาร
                ระบบทางเดินหารสามารถกำจัดสารพิษบางส่วนออกโดยการกระตุ้นให้มีการอาเจียน หรือ การถ่ายท้อง ซึ่งสารพิษที่ร่างกายสามารถกำจัดได้โดยผ่านระบบนี้มักจะเป็นสารพิษที่เกิดจากการเสื่อมเสียของอาหาร (Food Poisoning)  นอกจากนี้การขับถ่ายอุจจาระเป็นประจำจะช่วยลดการดูดซึมกลับสารพิษในลำไส้ใหญ่เข้าสู่กระแสเลือด

การกำจัดสารพิษผ่านตับ
ตับเป็นอวัยวะหลักในการรับหน้าที่กำจัดสารพิษที่ร่างกายได้รับ โดยเมื่อร่างกายได้รับสารพิษเข้าไปจะมีกระบวนการทางชีวเคมีที่เปลี่ยนสารพิษเหล่านั้นให้อยู่ในรูปสารประกอบที่สามารถละลายน้ำได้ และสารพิษเหล่านั้นจะถูกขับออกทางปัสสาวะ

ส่วนของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษ
ภาพจาก http://www.mydetoxification.co.uk


ขั้นตอนการกำจัดสารพิษของตับ


การกำจัดสารพิษขั้นตอนที่ 1 (Phase I Detoxification)

เอนไซม์ไซโตโครม P450 เป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการกำจัดสารพิษในขั้นตอนนี้  โดยการเติมโมเลกุลออกซิเจนที่มีความไวต่อการเกิดปฏิกิริยา เช่น อนุมูลอิสระไฮดรอกซิล เพื่อการเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของสารพิษให้มีความไวต่อการเกิดปฏิกิริยามากขึ้น และมีคุณสมบัติในการละลายน้ำมากขึ้น ซึ่งเมตาบอไลท์จากขั้นตอนนี้จะมีความสามารถในการทำลายเซลล์ได้มากกว่าในตอนแรกจึงจำเป็นต้องมีการกำจัดสารพิษในขึ้นตอนที่ 2 ต่อไป

การกำจัดสารพิษขั้นตอนที่ 2 (Phase II Detoxification)

ในขั้นตอนนี้จะมีการเชื่อมต่อโมเลกุลสารพิษจากขั้นตอนที่ 1 กับสารประกอบอื่นๆที่มีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อ (Conjugation) เช่น กลูต้าไธโอน โดยมีเอนไซม์กลูต้าไธโอนเอสทรานส์เฟอเรสเป็นตัวเร่ง โมเลกุลสารพิษจะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในรูปที่สามารถละลายน้ำได้ และร่างกายสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ

ในระหว่างการกำจัดสารพิษในแต่ละขั้นตอนจะเกิดอนุมูลอิสระออกมาด้วยซึ่งจะถูกกำจัดโดยสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆที่อยู่ภายในร่างกาย


แผนภาพแสดงกลไกการกำจัดสารพิษของร่างกาย





เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการกำจัดสารพิษ
ที่มา Yang et al. BMC Genomics 2011 12(Suppl 3):S2   doi:10.1186/1471-2164-12-S3-S2

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เทศกาลเจนี้มาอิ่มบุญแบบสุขภาพดีกันเถอะ


เทศกาลกินเจกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วซึ่งในปี 2556 ตรงกับวันที่ 5-13 ตุลาคม เท่าที่สังเกตุดูพบว่าร้านอาหารเจมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความนิยมในการรับประทานอาหารเจช่วงเทศกาลมากขึ้น

หลักการที่สำคัญของอาหารเจคือไม่รับประทานอาหารที่ทำมาจากสิ่งมีชีวิต นอกจากนั้นยังไม่รับประทานผักบางชนิดที่มีกลิ่นฉุน ได้แก่ กระเทียม(ทุกส่วน), หัวหอม(ทุกส่วน), หลักเกียว, กุ้ยช่าย และใบยาสูบ

การรับประทานผัก และปราศจากเนื้อสัตว์เป็นเรื่องที่ดีต่อร่างกาย โดยมีการสำรวจพบว่าผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ(Vegetarian,ซึ่งอาจจะหมายรวมถึงรับประทานเจได้) จะมีอัตราการตายเนื่องจากโรคหัวขาดเลือดลดลง 25% และยังลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคท้องผูก, โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่(diverticular disease), โรคนิ่วในถุงน้ำดี และ ไส้ติ่งอักเสบ(appendicitis)(Key, et al., 1999) และนอกจากนี้ยังมีงานวิจัยล่าสุด(Orlich, et al., 2013)ที่กล่าวสรุปไว้ว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดอัตราการตายรวม(All cause mortality rate) และลดภาวะการตายเฉพาะสาเหตุ(Cause specific mortality rate) เช่น โรคหัวใจขาดเลือด, โรคหัวใจหลอดเลือด, โรคมะเร็ง และอื่นๆ

การรับประทานอาหารเจ หรือ อาหารมังสวิรัติที่มีการควบคุมภาวะโภชนาการให้สมดุลจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่อย่างไรก็ดีเนื่องจากข้อจำกัดในการรับประทานอาหารเจ หรือมังสวิรัติถ้าเราไม่รู้จักเลือกรับประทานอาจก่อให้เกิดภาวะขาดสารอาหารได้(Sabaté, 2003)

เราลองมาดูกันค่ะว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ และอาหารเจที่มีความสมดุลทางโภชนาการควรทำอย่างไร

ปริมาณโปรตีนต้องเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน


ในหนึ่งวันสำหรับผู้ใหญ่มีความต้องการปริมาณโปรตีนประมาณ 40-50 กรัม และเป็นที่ทราบกันดีว่าแหล่งโปรตีนที่สำคัญมาจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นในการละเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เราจำเป็นต้องหาแหล่งโปรตีนจากพืชมารับประทานเสริม มีงานวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีปริมาณโปรตีน และกรดอะมิโนซัลเฟอร์ต่ำเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้(Ingenbleek and McCully, 2012)
ดังนั้นควรพยายามเลือกรับประทานโปรตีนจากพืชให้หลากหลายเพื่อให้ได้ปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นที่ร่างกายเราต้องการครบ เช่น
  • โปรตีนจากพืชตะกูลถั่ว(Legume) เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ซึ่งมีปริมาณกรดอะมิโนไลซีนสูง
  • โปรตีนจากธัญพืช(Cereal) เช่นข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเปลือกแข็ง(Nut) เช่นเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ แมคคาเดเมีย ซึ่งมีปริมาณกรดอะมิโนที่มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ เช่นเมไทโอนีนสูง และมีปริมาณทัดเทียมกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์

ตารางแสดงโปรตีน และ กรดอะมิโนจำเป็นบางตัวที่ควรพิจารณาระหว่างการรับประทานอาหารเจ/มังสวิรัติและแหล่งพืชที่พบ(Wikipedia, 2013; FAO/WHO/UNU, 1985;Young and Pellett, 1994)
สารอาหาร
หน่วย
ปริมาณที่ต้องได้รับใน 1 วัน
ปริมาณ(โดยเฉลี่ย)ที่พบในพืชแหล่งต่างๆ
(ต่อ อาหาร 100 กรัม หรือ 1ขีด)
ต่อนน.ตัว 1 กก.
ถ้าหนัก 60 กก.
พืชตระกูลถั่ว
ธัญพืช
ถั่วเปลือกแข็ง
ผัก และผลไม้
โปรตีน
กรัม
0.75
45
26
12
18
1-2
ไลซีน
มิลลิกรัม
30
1800
1664
372
810
67
เมไธโอนีน+ซิสเตอีน
มิลลิกรัม
10.4+4.1
(รวม 15)
624+246
(รวม 900)
650
444
828
40
ทรีโอนีน
มิลลิกรัม
15
900
988
384
648
43
ทริปโตเฟน
มิลลิกรัม
4
240
312
144
306
17


ระวังการขาดกรดไขมัน วิตามินและแร่ธาตุบางตัว ซึ่งควรหารับประทานเสริม


โดยกรดไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่ผู้รับประทานมังสวิรัติ/เจ มักจะขาดคือ กรดไขมันโอเมก้า 3, วิตามินบี 12, วิตามินดี, แคลเซียม, เหล็ก และสังกะสี(Craig,2010)

กรดไขมันโอเมก้า 3

จากข้อมูลของWHO(2008) แนะนำว่าใน 1 วันควรรับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่ต่ำกว่า 0.5% ของพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน หรือ ประมาณ 1 กรัม เมื่อคิดเทียบที่พลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน

ส่วนใหญ่กรดไขมันโอเมก้า 3 จะพบได้ในปลาทะเล แต่ในเมล็ดพืชบางชนิด และสาหร่ายก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่นกัน

ตารางแสดงปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในพืช และ สาหร่าย(Nutrient Data Laboratory, 2011; Tokusoglu and Üunal, 2003; Dawczynski, et al., 2007)
เมล็ดพืช และสาหร่าย
ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 (กรัม / 100 กรัม)
เมล็ดแฟลก
23
เมล็ดเชีย
18
สาหร่ายสไปรูไลน่า
0.5
สาหร่ายคลอเรลล่า
3.9
สาหร่ายญี่ปุ่น และเกาหลี(Phorphyra sp.)
0.84


วิตามินบี 12

จากข้อมูล Thai RDI ใน 1 วันเราควรได้รับวิตามินบี 12 อย่างน้อย 2 ไมโครกรัม ซึ่งปัญหาคือวิตามินบี 12 ไม่พบในพืช(Herbert, 1988) พบเฉพาะในสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เท่านั้น แต่พบบ้างในอาหารที่เกิดการหมักดองเนื่องจากจุลลินทรีย์ เช่นเต้าเจี้ยว และมิโซะ

อย่างไรก็ดีการเจ็บป่วยเนื่องจากขาดวิตามินบี 12 ต้องใช้ระยะเวลานานเป็นปีๆ ดังนั้นสำหรับผู้ที่รับประทานเจเพียงช่วงเวลาเทศกาล 10 วัน อาจไม่กระทบต่อสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่รับประทานเป็นปีๆ ควรหารับประทานวิตามินบี 12 มาทานเสริมจะเป็นการดีกว่า

วิตามินดี

เป็นวิตามินที่พบน้อยในพืช ส่วนใหญ่พบในแหล่งอาหารจากสัตว์ แต่สำหรับบ้านเราคงไม่มีปัญหาเรื่องขาดวิตามินดี เนื่องจากร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เองเมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด และปริมาณแสงแดดบ้านเราก็ล้นเหลือจึงไม่พบปัญหาเหมือนต่างประเทศที่มีปริมาณแสงแดดน้อย

แคลเซียม

จากข้อมูล Thai RDI  ใน 1 วัน เราต้องการแคลเซียม 800 มก. ถ้านึกถึงแหล่งแคลเซียมทุกคนจะนึกถึง นม  และ ปลาเล็กปลาน้อย เป็นอันดับแรก แต่จริงๆแล้วในผักบางชนิดก็มีปริมาณแคลเซียมสูงเช่นกัน

ตารางแสดงพืชที่มีปริมาณแคลเซียมสูง(สสส,2553)
พืช
ปริมาณแคลเซียม
(มิลลิกรัม/ผัก 100 กรัม)
ใบยอ(ปัตตานี)
841
ใบชะพลู
601
ผักแผว
573
ใบยอ
469
มะขามสด
429
แค(ยอด)
395
ผักกระเฉด
387
สะเดา(ยอด)
354
สะแล
349
นอกจากนี้ยังพบในผักใบเขียวต่างๆ และ เมล็ดงาด้วย

เหล็ก

จากข้อมูล Thai RDI  ใน 1 วัน เราต้องการ 15 มก. แหล่งที่พบธาตุเหล็กนอกจาก ตับ, ไข่แดง, นม และเนื้อแดงแล้ว ในผักบางชนิดก็มีปริมาณธาตุเหล็กในปริมาณสูงเช่นกัน

ตารางแสดงพืชที่มีปริมาณธาตุเหล็กสูง(BangkokHealth.com,2553)
พืช
ปริมาณแคลเซียม
(มิลลิกรัม/ผัก 100 กรัม)
ผักกูด
36.3
ถั่วฝักยาว
26
ผักแว่น
25.2
เห็ดฟาง
22.2
พริกหวาน
17.2
ใบแมงลัก
17.2
ใบกะเพรา
15.1
ผักเม็ก
11.6
มะกอก(ยอด)
9.9
กระถิน
9.2


อย่างไรก็ดีสำหรับคนที่รับประทานเจในระยะยาว อาจต้องหาอาหารเสริมธาตุเหล็กมารับประทานเพิ่มเนื่องจากธาตุเหล็กจากแหล่งพืชร่างกายจะดูดซึมได้ยากกว่าแหล่งจากสัตว์

สังกะสี

จากข้อมูล Thai RDI  ใน 1 วัน เราต้องการ 15 มก. แหล่งสังกะสีที่พบในพืชได้แก่ ธัญพืชที่ยังไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง รำข้าวสาลี และธัญพืชอื่นๆ ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง งา นอกจากนี้ยังพบในพืชตะกูลถั่วเช่น ถั่วเขียว ถั่วลิสง ผักใบเขียวก็มีปริมาณสังกะสีมากเช่นกัน โดยเฉพาะผักขม ส่วนผลไม้ที่พบมากคือ มะม่วง แอปเปิ้ล และสับปะรด

ทั้งนี้การดูดซึมสังกะสีจากแหล่งพืชของร่างกายก็ไม่ดีเช่นเดียวกับธาตุเหล็กดังนั้นผู้ที่รับประทานอาหารเจเป็นระยะเวลานานควรรับประทานอาหารเสริมธาตุสังกะสีเพิ่ม


ท้ายนี้ขอแนะนำเพิ่มว่าระวังอย่างรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้งมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้

ที่มาของข้อมูล


Key, T. J., Davey, G. K., & Appleby, P. N. (1999). Health benefits of a vegetarian diet. Proceedings of the Nutrition Society, 58(02), 271-275.

Orlich, M. J., Singh, P. N., Sabaté, J., Jaceldo-Siegl, K., Fan, J., Knutsen, S., ... & Fraser, G. E. (2013). Vegetarian Dietary Patterns and Mortality in Adventist Health Study 2Vegetarian Dietary Patterns and Mortality. JAMA Internal Medicine, 1-8.

Sabaté, J. (2003). The contribution of vegetarian diets to health and disease: a paradigm shift?. The American journal of clinical nutrition, 78(3), 502S-507S.

“สารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai Recommended Daily Intakes-Thai RDI)” แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 182) พ.ศ.2541

Ingenbleek, Y., & McCully, K. S. (2012). Vegetarianism produces subclinical malnutrition,hyperhomocysteinemia and atherogenesis. Nutrition, 28(2), 148-153.

Wikipedia. (2013). Essential amino acid (online). Available : http://en.wikipedia.org/wiki/Essential amino_acid [2013, October 3]

Food and Agriculture Organization/World Health Organization/United Nations University. Energy and protein requirements. Reportof joint FAO/WHO/UNU expert consultation. Geneva: World Health Organization. 1985. (WHO Tech rep ser no 724.)

Young, V. R., & Pellett, P. L. (1994). Plant proteins in relation to human protein and amino acid nutrition. The American journal of clinical nutrition, 59(5), 1203S-1212S.

Craig, W. J. (2010). Nutrition concerns and health effects of vegetarian diets.Nutrition in Clinical Practice, 25(6), 613-620.

Joint FAO/WHO Expert Consultation on Fats and Fatty Acids in Human Nutrition, 10-14 November, 2008, WHO, Geneva

Nutrient Data Laboratory 2011, National Nutrient Database for Standard Reference, Release 25, Viewed 10 June 2013,< http://ndb.nal.usda.gov/ndb/search/list>.

Tokuşoglu, Ö., & Üunal, M. K. (2003). Biomass nutrient profiles of three microalgae: Spirulina platensis, Chlorella vulgaris, and Isochrisis galbana.Journal of food science, 68(4), 1144-1148.

Dawczynski, C., Schubert, R., & Jahreis, G. (2007). Amino acids, fatty acids, and dietary fibre in edible seaweed products. Food Chemistry, 103(3), 891-899.

Herbert, V. (1988). Vitamin B-12: plant sources, requirements, and assay. The American journal of clinical nutrition, 48(3), 852-858.

สสส. (2553). พืชที่มีแคลเซียมสูง (ออนไลน์). สืบค้นจาก http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/ 17722 [3 ตุลาคม 2556]

BangkokHealth.com.(2553). ธาตุเหล็กในร่างกาย (ออนไลน์). สืบค้นจาก http://www.bangkokhealth.com/ index.php/health/health-general/food-nutrition/658-ธาตเหล็กในร่างกาย.html [3 ตุลาคม 2556]